ความรู้เรื่องเครื่องยนต์ ตอนแบตเตอรี่
การได้มาซึ่งรถยนต์หนึ่งคัน ไม่ได้จบเพียงแค่การเติมน้ำมัน แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกมากมายที่เราจำเป็นจะต้องจะต้องรับทราบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไส้กรอง และชิ้นส่วนที่จะต้องเปลี่ยนเมื่อถึงกำหนด และที่สำคัญ ตัวจ่ายไฟให้รถยนต์ นั่นคือ แบตเตอรี่แบตเตอรี่รถยนต์มีกี่ประเภท
- แบตเตอรี่แบบเปียก
- แบตเตอรี่แบบแห้ง
แบตเตอรี่แบบเปียก
เป็นแบตฯ ที่นิยมใช้กันมากที่สุด สาเหตหลักก็คงเป็นเรื่องของราคา เพราะถูกที่สุด แต่.. แบตเตอรี่แบบเปียกยังแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ แบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ กับนานๆ เติมทีหรือไม่ต้องเติมเลย
แต่อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่ส่วนใหญ่ จะมีอายุการใช้งานประมาณ 1.5-2 ปีเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ขึ้นกับการใช้งานเป็นหลัก โดยเฉพาะกับแบตเตอรี่ที่นานๆ เติมหรือไม่เติมเลย ถ้าไม่ตรวจสอบเรื่องน้ำกลั่นเลย ถ้าแห้งไปมาก ก็อาจทำให้อายุการใช้งานลดลงได้เช่นกัน
ทิปดูแบตเตอรี่ ให้ดูที่ช่องมองน้ำกลั่น ถ้ายังเป็นสีเขียว แสดงว่า ยังเก็บไฟได้ดี
แบตเตอรี่แบบแห้ง
แบตเตอรี่ประเภทนี้ ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น 100% และด้วยความสะดวกขนาดนี้้ ทำให้ราคาก็แพงมากด้วยเช่นกัน แต่จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ อายุการใช้งาน นานมาก 5-10 ปี เลยทีเดียว
ควรเปลี่ยนแบตฯ เมื่อไหร่
โดยปกติแล้ว ถ้าเราเอารถเข้าศูนย์บริการ ทางช่างก็จะทำการตรวจสอบแบตฯ ให้ด้วยเช่นกันว่า สามารถเก็บไฟได้มากน้อยเท่าไหร่ ถ้าเก็บได้น้อย ก็ควรเปลี่ยนทันที
อาการที่บ่งบอกว่า แบตฯ เสื่อม
ส่วนตัวแล้ว มีประสพการณ์กับแบตฯ เสื่อมอยู่บ่อยๆ ทำให้เสียเวลามาก ดังนั้น ถ้าจะให้ดี ไม่อยากเสี่ยงกับแบตฯ เสื่อม แนะนำให้เปลี่ยนทุก 1.5 ปี สำหรับแบตเตอรี่แบบเปียก
ถ้าไม่อยากนั้น ก็ให้ลองทดสอบจากการสตาร์ทรถ โดยปกติ สตาร์ทรถเพียงครั้งเดียวก็ติด แต่ถ้าหลายครั้ง หรือสังเกตไฟที่หน้าปัด ดูอ่อนๆ ไม่สว่างเหมือนปกติ ก็อาจเป็นอาการของแบตฯ เสื่อมได้เช่นกัน
เปลี่ยนแบตฯ ทั้งที่ เอาแอมป์เยอะๆ ดีไหม
ผู้ขายส่วนใหญ่มักแนะนำให้ใช้แอมป์สูงๆ เพื่อจะได้ขายได้กำไรมากขึ้น แต่ในทางเป็นจริงแล้ว ถ้ารถยนต์ของเราไม่ได้มีอุปกรณ์ที่ใช้ไฟเพิ่มมากขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อแบตฯ แอมป์มากๆ แต่ถ้าต้องการก็สามารถซื้อได้โดยซื้อขนาดที่ใหญ่ขึ้นสัก 10-30 แอมป์ แต่ทั้งนี้ ต้องลองตรวจสอบฐานที่ตั้งของแบตฯ ด้วยว่า มีพื้นที่ว่างพอหรือไม่ เพราะแอมป์ใหญ่ขึ้น มักจะขนาดใหญ่กว่า
ข้อควรระวัง ห้ามซื้อแบตฯ ที่เล็กกว่าที่กำหนดโดยรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ เพราะอาจจะมีปัญหากับระบบไฟในรถได้ ประหยัดนิดหน่อย แต่อาจต้องปวดหัวทีหลังกับไฟที่ไม่เพียงพอ
0 comments:
Post a Comment